Admin Chue
01 Jan 2023

ถอดสูตรสำเร็จครองใจมหาชน กษัตริย์ผู้แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี

ถือเป็นพระมหากษัตริย์ยุคใหม่ที่ประสบความสำเร็จสูงในการปรับทัพราชวงศ์ขนานใหญ่ให้ทันยุคทันสมัย จนกลายเป็นต้นแบบของราชวงศ์โลกยุคผลัดใบ สำหรับ “พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10” ไม่เพียงทรงรวมพลังพระบรมวงศานุวงศ์น้อยใหญ่ของไทย เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่เสริมฐานรากที่มั่นคงขึ้นให้กับสถาบันกษัตริย์ไทย แต่ยังทรงสร้างปรากฏการณ์ครองใจมหาชนได้เบ็ดเสร็จทันใจ ด้วยสูตรลับความสำเร็จสไตล์ใจถึงพึ่งได้ที่ยากเลียนแบบ

“ทีมเวิร์กแข็งแกร่ง” คือกุญแจความสำเร็จสู่การปรับทัพใหญ่ นอกจากจะได้กำลังสนับสนุนหลักจาก “สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี” ยังได้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ ตลอดจนพระราชวงศ์อาวุโส แท็กทีมกันเสด็จออกปฏิบัติพระราชกรณียกิจเป็นหมู่คณะ เพื่อสร้างบิ๊กอิมแพกต์เรียกคะแนนนิยมกลับคืนมาจากประชาชน สร้างธรรมเนียมปฏิบัติใหม่ให้ราชวงศ์ไทย เพราะไม่ว่าจะเสด็จไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่ใด จะทรงพระดำเนินเยี่ยมราษฎรอย่างใกล้ชิดเสมอ พร้อมตรัสทักทายและยื่นพระหัตถ์ให้ประชาชนสัมผัส ขณะที่ “สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี” ก็ทรงอยู่เคียงข้างมิได้ห่างกาย คอยแย้มพระสรวลโบกพระหัตถ์ให้ประชาชนตลอดเวลา และจะหยุดแวะรับสั่งคุยนานเป็นพิเศษเมื่อเจอกลุ่มเอฟซีแฟนคลับ งานนี้จึงมาครบทั้งป้ายไฟ, ดอกกุหลาบ และโอปป้าแจกลายเซ็น

“ขยายฐานแฟนคลับสู่คนรุ่นใหม่” ใครกล้านึกฝันว่าชีวิตนี้จะได้เห็นประชาชนตัวเล็กๆ ถ่ายเซลฟี่กับองค์พระประมุข แถมเป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงแจกลายเซ็น, ถ่ายรูปร่วมกับประชาชน และยื่นพระหัตถ์ให้สัมผัสอย่างเป็นกันเอง โดยวิถีใหม่ของการรับเสด็จเปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันเหมือนเดิม เพราะเป็นครั้งแรกที่มีการแสดงความจงรักภักดี ด้วยการชูป้ายไฟ และถวายดอกกุหลาบ อีกทั้งอนุญาตให้ประชาชนยกมือถือขึ้นถ่ายรูปได้อย่างหนำใจ

“ทลายกำแพง” พระราชดำรัสสั้นๆที่ “ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 10” ตรัสกับชายผู้ชูพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง รัชกาลที่ 9 ไว้เหนือหัว “กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจ” ระหว่างการชุมนุมของกลุ่มราษฎร กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการทลายกำแพงระหว่างสถาบันกษัตริย์กับประชาชน

เป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ที่ต้องบันทึกไว้ เมื่อพสกนิกรสวมเสื้อเหลืองมาเฝ้าฯรับเสด็จเนืองแน่น หน้าพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันปิยมหาราช 23 ตุลาคม 2563 หลังเสร็จสิ้นพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ต่างพร้อมใจกันเปล่งเสียง “ในหลวงสู้สู้” สลับกับ “ทรงพระเจริญ” เพื่อส่งมอบกำลังใจถึงกษัตริย์ผู้เป็นที่รัก แม้สายฝนโปรยปรายชุ่มฉ่ำ “ในหลวง รัชกาลที่ 10” ก็นำทีมพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งครอบครัว ทรงพระดำเนินเยี่ยมราษฎรกลางสายฝนมาแล้ว โดยทรงแย้มพระสรวลและโบกพระหัตถ์ทักทายประชาชนตลอดสองฟากถนนหน้าพระบรมมหาราชวัง

“จริงใจไว้ก่อน” อีกครั้งที่ทรงเผยความในพระราชหฤทัยอย่างจริงใจ คือตอนเสด็จฯไปทรงเป็นองค์ประธานในกิจกรรมอบรมผู้นำเยาวชนจิตอาสา ค่าย LOVE camp ณ ศูนย์ฝึกโรงเรียนจิตอาสา 904 บางเขน เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2563 เยาวชนที่เคยขอพระราชทานถ่ายรูปเซลฟี่กับพระองค์ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 กราบทูลว่า “มีข่าวลือข่าวใส่ร้ายพระองค์เยอะแยะทางโซเชียลมีเดีย และกระหม่อมเองก็เคยคิดลบกับพระองค์ จนในชีวิตมีโอกาสได้พิสูจน์ที่สนามหลวง จึงได้รับรู้ถึงพระเมตตาของพระองค์ที่ทรงมีต่อเยาวชนไทย”

“ในหลวง รัชกาลที่ 10” มีรับสั่งว่าพระองค์ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเอง...“ข่าวดีก็มี ได้ข่าวไม่ดีก็มีได้ พวกเราต้องไปแยกแยะกันเองว่าอะไรเป็นข่าวดี หรือข่าวไม่ดี ไอ้เราก็ไม่ได้เคยโฆษณาตัวเองว่าดี หรือไม่ดี มันก็อยู่ที่พวกเราทุกคนตัดสินเอาเอง แต่สิ่งที่ขอก็คือขอให้เราชั่งใจให้ดีเป็นใช้ได้ ได้รับข่าวดีก็ต้องถามว่าอะไรมันดี ข่าวลบมันไม่ดีก็ต้องดูว่ามันจริงหรือไม่ ก็เป็นของธรรมดา ตั้งแต่สมัยเป็นสมเด็จพระบรมฯมา ก็มีข่าวไม่ดี แม้แต่เป็นใครก็ต้องพูดดีบ้างไม่ดีบ้าง เป็นของธรรมดา เราไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองในเรื่องใดๆทั้งนั้น ก็คนที่อยู่ก็เป็นคนตัดสินพิสูจน์เอาเองว่าเราดีหรือไม่ดี เด็กรุ่นใหม่ๆก็ดูเอาเอง แต่ขอให้เราเป็นเด็กดี เป็นคนดี เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ก็สบายใจแล้ว”

ขณะที่เด็กชาวม้งกราบทูลพระองค์ว่า “หนูได้ยินคนพูดว่าเมื่อ ร.9 สวรรคตม้งจะไม่มี ที่อยู่ ร.10 จะให้ม้งออกไปจากประเทศให้หมด หนูกลัวมาก กลัวว่าจะไม่มีแผ่นดินอยู่ กลัวว่าจะไม่มีที่ไป ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่หลายปีผ่านไป ร.10 ก็ไม่เคยไล่ พวกเราทุกคนสบายดี แล้วในหลวงก็ยังให้หนูเรียนหนังสือด้วย” พระองค์ตรัสให้กำลังใจว่า “ในแผ่นดินนี้ ไม่ว่าจะเชื้อชาติใด เราทุกคนคือคนไทย ประเทศเราไม่เหมือนชาติอื่นใดในโลก เรารักกัน เราช่วยเหลือเอื้อเฟื้อแบ่งปันกัน และในหลวงจะไม่มีวันทิ้งคนไทย พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์จะทำทุกอย่างเพื่อคนไทย ขออย่าได้กังวล”

แม้จะเป็นถึงกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ทรงยอมรับต่อหน้าเยาวชนที่ทูลถามว่า ทรงท้อบ้างหรือไม่ที่มีแต่ข่าวไม่ดีข่าวโกหกมากมาย...“เป็นเรื่องธรรมดาของทุกคนที่จะเหนื่อย หรือท้อหรือเสียใจ แต่เราต้องไม่ปล่อยให้ความรู้สึกด้านลบเหล่านี้ฉุดรั้งให้เราหยุดทำงาน หยุดทำหน้าที่ หรือหยุดทำสิ่งดีๆเพื่อชาติบ้านเมือง”

“ใจถึงพึ่งได้” และ “ไม่ทิ้งประชาชน” การคืนความสุขสงบให้ประชาชน และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม เพราะเราทุกคนคือคนไทยเหมือนกัน เป็นหนึ่งในพระราชภารกิจสำคัญในยุคของ “พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” โดยทุกครั้งที่เกิดวิกฤตการณ์, ความสูญเสียครั้งใหญ่ และเหตุการณ์สะเทือนขวัญในบ้านเมืองเรา ในหลวงจะพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ช่วยเหลือประชาชนโดยทันที พร้อมทรงแสดงความห่วงใยและพระราชทานขวัญกำลังใจ ตลอดจนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยตลอดเวลาที่ผ่านมาได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ช่วยเหลือประชาชนไปแล้วกว่า 2,848,739,775 บาท ครอบคลุมตั้งแต่ด้านการสาธารณสุข, ด้านการศึกษา, โครงการราชทัณฑ์ปันสุข, ถุงพระราชทานและเครื่องอุปโภคบริโภค ตลอดจนโครงการโคกหนองนาแห่งน้ำใจและความหวัง กรมราชทัณฑ์

เหตุการณ์สะเทือนขวัญกราดยิงทำร้ายเด็กและประชาชนที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กองค์การบริหารส่วนตำบลอุทัยสวรรค์ จังหวัดหนองบัวลำภู เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2565 ทำให้มีเด็กเสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ไม่เพียงจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ “พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์” ประธานองคมนตรี และคณะองคมนตรี ไปเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บทุกรายโดยทันที แต่ “ในหลวง รัชกาลที่ 10” และ “สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี” ยังเสด็จฯเป็นการส่วนพระองค์ไปทรงเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ความรุนแรง ที่โรงพยาบาลหนองบัวลำภู และโรงพยาบาลอุดรธานี พร้อมพระราชทานขวัญกำลังใจแก่ครอบครัวผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯรับผู้ได้รับบาดเจ็บไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ รับศพผู้เสียชีวิตไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ และพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ

“วันนี้มาเยี่ยมเยียนและมาให้กำลังใจ รู้สึกเสียใจรู้สึกเศร้าสลดมากที่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น มีความ รู้สึกร่วมในความเศร้าโศกเสียใจก็ ไม่ทราบจะอธิบาย อย่างไรให้เข้าใจ ก็มีความรู้สึกร่วมเป็นเหตุที่ไม่ดีเกิดขึ้น ถ้าเกิดมีอะไรเดือดร้อนลำบากก็จะให้ความสะดวกช่วยเหลือดูแล ขอแสดงความเสียใจ และคงไม่มีคำไหนมาแทนคำว่าเสียใจได้ ก็ขอให้กำลังใจกับพวกเราที่จะเข้มแข็งเพื่อให้วิญญาณน้องๆเขามีความสบายใจว่าญาติและครอบครัวจะอยู่ได้อย่างเข้มแข็งมีชีวิตต่อไป เมื่อถึงเวลาก็จะได้มีการสวดมนต์และมีการทำบุญเพื่อให้อุทิศส่วนกุศลให้น้องๆที่จากไป ในเวลาเดียวกันก็จะได้เป็นการบำรุงขวัญกำลังใจของพวกเรา ก็เสียใจที่เรื่องร้ายมันเกิดแต่มันก็เกิด ตอนนี้จะทำยังไงให้ดีที่สุดเท่าที่ดีได้ เพื่อจะได้ให้มีกำลังใจกันต่อไป”

ย้อนไปในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดอย่างหนักของไวรัสโควิด-19 ทรงห่วงใยในสุขภาพพลานามัยของพสกนิกรยิ่ง นอกจากจะพระราชทานกำลังใจให้ประชาชน ยังทรงนำพาคนไทยและประเทศไทยก้าวผ่านวิกฤติโควิด-19 ไปด้วยดี โดยพระราชทานพระบรมราโชบายในการดำเนินมาตรการต่างๆอย่างใกล้ชิด เพื่อควบคุมยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 และเมื่อทรงคาดการณ์ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะไม่จบลงในเร็ววัน ก็ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สมทบทุนจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ให้โรงพยาบาลและสถานที่ต่างๆ เพื่อรับมือและยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 อีกทั้งมีพระราชดำริให้จัดทำ “ถุงพระราชทานกำลังใจ” เป็นตัวแทนสายธารความรักความห่วงใยส่งไปถึงประชาชน ตลอดจนบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั่วประเทศ ที่ร่วมปฏิบัติหน้าที่อย่างเหน็ดเหนื่อยเพื่อดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด ยามใดที่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าขอให้นึกถึงพระราชดำรัสของพระองค์...“อย่างที่บอกว่าประชาชนมีความสุข ประเทศมีความมั่นคง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ปัญหาต้องมี อุปสรรคต้องมีเสมอ แต่ถ้าเรามีความมั่นคงมีความอยากให้ประชาชนมีความสุข มีทัศนคติที่ดี ประชาชนก็มีความสุข พวกเราก็มีความสุข เพราะเราก็คือประชาชน...”

“ของขวัญพระราชทาน” ทรงสนับสนุนการปฏิรูปที่ดิน โดยพระราชทานที่ดินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นการปฏิรูปที่ดินในประเทศไทย ครอบคลุมเนื้อที่กว่า 44,369 ไร่ ในพื้นที่ 5 จังหวัดนำร่อง คือ ปทุมธานี, พระนครศรีอยุธยา, นครปฐม, ฉะเชิงเทรา และนครนายก นอกจากนี้ ได้พระราชทานพระบรมราโชบายเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดิน คือมีพระราชประสงค์ให้เกษตรกรผู้เช่าที่ดินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อยู่เดิม ได้ทำกินอยู่ในที่ดินนั้นตลอดไปชั่วลูกหลาน แต่จะไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น รวมทั้งจัดให้มีการพัฒนาต่างๆสอดคล้องกับสภาพเดิมของท้องถิ่น และให้รวมกลุ่มเกษตรกรจัดตั้งเป็นสหกรณ์ ซึ่ง ส.ป.ก.ได้น้อมรับพระบรมราโชบายนำมาเป็นแนวทางปฏิบัติงาน

ขณะเดียวกัน ทรงเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษา, งานราชการ, งานสาธารณภัย และกรรมสิทธิ์ที่ดิน เพื่อให้หน่วยงานได้ใช้ประโยชน์สูงสุด จึงพระราชทานโฉนดที่ดินในพระปรมาภิไธย เพื่อใช้ประโยชน์เป็นสถานที่ทำงาน, สถานที่ศึกษา และประโยชน์ของทางราชการ รวมเนื้อที่ 4,854 ไร่ 3 งาน 34 ตารางวา ได้แก่ “โครงการพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่าของแผ่นดิน” ในพื้นที่วังปารุสกวัน เพื่อใช้เป็นสถานที่ทำงานของกองบัญชาการ กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ สถานที่ทำงานของกองบัญชาการตำรวจนครบาล ค่ายนเรศวร และค่ายพระรามหก ในส่วนของสถานศึกษา ได้พระราชทานโฉนดที่ดินให้โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย โรงเรียนราชวินิต มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา มหาวิทยาลัยสวนดุสิต และยังพระราชทานที่ดินกว่า 148 ไร่ บริเวณคลองหก จังหวัดปทุมธานี เพื่อใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่ และสถานที่ทำงานขององค์การสวนสัตว์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ อีกทั้งพระราชทานโฉนดที่ดินเขตดุสิต เพื่อใช้เป็นสถานที่ทำงานของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สถานที่ทำงานของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และพระราชทานโฉนดที่ดินตั้งอยู่ในจังหวัดปทุมธานีและชลบุรี เพื่อให้กองทัพบกได้ใช้ประโยชน์ทางราชการ

“...ความปรารถนาดี ที่จะให้เกิดความสุขความสวัสดีแก่ข้าพเจ้านั้น จะสำเร็จได้ก็ด้วยความพร้อมเพรียงและความสามารถของทุกท่าน ที่จะร่วมมือกันปฏิบัติงานตามภาระหน้าที่ให้บรรลุผลสมบูรณ์ เพื่อประเทศชาติและประชาชน ทุกวันนี้เหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นทั้งในและนอกประเทศ ได้กระทบกระเทือนถึงสวัสดิภาพ ตลอดจนความมั่นคงของชีวิตและการงานของประชาชนทุกคนเป็นอย่างมาก จำเป็นที่ทุกคนทุกฝ่ายจะต้องทำความคิดจิตใจให้หนักแน่น ยึดมั่นในเหตุผลที่ถูกต้อง และประโยชน์สุขของส่วนรวม แล้วมุ่งมั่นปฏิบัติงานในหน้าที่ ด้วยความสมัครสมานสามัคคี ให้ก้าวหน้าไปได้ทันกับสภาวะของโลก ที่มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงขอให้ประชาชนชาวไทยทุกคนมีขวัญและกำลังใจที่ดีอยู่เสมอ รวมทั้งรักษาความดี ความสามัคคี ความสุจริตไว้ให้มั่นคงหนักแน่น ความสุขและความสวัสดีก็จะเกิดมีขึ้น ทั้งแก่ประเทศชาติและประชาชนพร้อมทุกส่วน”...พระราชดำรัสดังกล่าวของ “พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10” ที่พระราชทานไว้ในการเสด็จออกมหาสมาคม ในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เมื่อ วันที่ 28 กรกฎาคม 2565 สะท้อนได้เป็นอย่างดีถึงน้ำพระราชหฤทัยยิ่งใหญ่ของพระมหากษัตริย์ ยุคใหม่ผู้ครองใจมหาชน.

ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

 

ข้อมูลโดย https://www.thairath.co.th/news/royal/2591646 

ไทยรัฐออนไลน์ 1 ม.ค. 2566 06:01 น.